เสริมหน้าอก จะเสริมนม หรือทำนมที่ไหนดี
หลายๆ คนมักจะหาวิธีทำให้หน้าอกใหญ่ และมีคำถามมากมายเกี่ยวกับการเสริมหน้าอกที่ไหนดี ซึ่งวิธีทำให้หน้าอกใหญ่ต่างก็มีหลากหลายวิธี ไม่ว่าจะเป็นการฉีดไขมันหรือจะเป็นการเสริมหน้าอกที่คนมักนิยมทำกัน และนี่ก็คือวิธีทำให้หน้าอกใหญ่ที่ฮิตที่สุด ปัจจุบันการทำศัลยกรรมเสริมหน้าอก นอกจากจะเป็นการช่วยเสริมเพิ่มขนาด อัพไซส์ และยังสร้างความมั่นใจให้กับสาวๆ อีกด้วย การเสริมหน้าอกแม้จะเป็นศัลยกรรมที่แพร่หลายมาก แต่ขั้นตอนต่างๆ อุปกรณ์ ซิลิโคน หรือแม้ประสบการณ์ของแพทย์ ก็เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้การทำนมออกมาสวย ถูกใจ และมีความปลอดภัยต่อผู้ที่ต้องการทำนมด้วย ส่วนเรื่องของการเสริมหน้าอกที่ไหนดีนั้น ก็ถือว่าเป็นคำถามที่ยอดฮิต แต่ไม่ว่าจะเป็นการเสริมหน้าอกที่ไหนดีนั้น ขึ้นอยู่กับเทคนิคและฝีมือของทีมแพทย์ที่แตกต่างกันไป โดยทาง Vertex Clinic มีการรองรับที่ได้มาตรฐานจากทีมแพทย์คุณภาพ
ในการทำศัลยกรรมทำหน้าอก นอกจากแพทย์จะต้องคำนึงถึงขนาดของซิลิโคนที่เหมาะสมกับสรีระร่างกายร่วมกับความต้องการของผู้ที่ต้องการทำนมแล้วนั้น เทคนิคการผ่าตัดยังมีความซับซ้อน เพื่อให้ผลลัพธ์ออกมามีความสวยงามอีกด้วย สิ่งหนึ่ง คือ เรื่องของตำแหน่งแผล หลายคนไม่ต้องการให้มีแผลบริเวณหน้าอกก็มักจะเลือกการทำนมโดยเปิดแผลทางรักแร้ แต่วิธีที่เป็นที่นิยมมากที่สุด คือการเปิดแผลใต้ราวนม เพราะการจัดวางตำแหน่งของซิลิโคนมักจะทำได้ง่ายกว่า ยิ่งสมัยนี้ นวัตกรรมซิลิโคน มีความยืดหยุ่นสูง ใช้การเปิดแผลขนาดเล็กก็สามารถใส่ซิลิโคนเข้าไปได้
การวางตำแหน่งซิลิโคน เสริมหน้าอก
แต่ละคนจะมีรูปร่างและโครงสร้างทางกายภาพที่แตกต่างกัน ในการผ่าตัดทำนม นอกจากตำแหน่งของแผลผ่าตัดแล้ว ตำแหน่งในการวางซิลิโคนของแต่ละคนจะไม่เหมือนกัน ทั้งนี้แพทย์จะเป็นผู้พิจารณาตามความเหมาะสม โดยดูได้จากความหนาหรือบางของผิวหนัง ความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ ความหนาของชั้นไขมันใต้ผิวหนัง และเนื้อด้านข้างบริเวณหน้าอกของผู้ที่เข้ารับการผ่าตัดศัลยกรรมทำนม ซึ่งการทำหน้าอกแต่ละตำแหน่งอาจมีข้อดีและข้อด้อย ที่แตกต่างกัน การวางตำแหน่งของซิลิโคนที่นิยม มีอยู่ 2 แบบ
1. การวางตำแหน่งซิลิโคนไว้เหนือกล้ามเนื้อ
การวางซิลิโคนตำแหน่งเหนือกล้ามเนื้อจะทำให้หน้าอกดูสวยงาม เหมาะกับผู้ที่มีเนื้อหน้าอกพอสมควร ไม่เหมาะกับคนรูปร่างผอมบาง เพราะเนื้อบริเวณเต้านมจะน้อย มีโอกาสเห็นซิลิโคนชัดมากขึ้น ขั้นตอนในการผ่าตัดไม่ซับซ้อนมากนัก มีผลข้างเคียงที่เกิดจากบาดแผลน้อยกว่า และแผลก็หายเร็วกว่าวิธีอื่นๆ ตำแหน่งนี้มีโอกาสเกิดพังผืดสูง ถ้านวดไม่ดี เวลาเกิดพังผืดรัดจะมองเห็นขอบซิลิโคนเป็นริ้วๆ ได้ และมีโอกาสเต้านมหย่อนคล้อยได้มากกว่า
2. การวางตำแหน่งของซิลิโคนไว้ใต้กล้ามเนื้อ
การวางซิลิโคนใต้กล้ามเนื้อหน้าอกจะดูเป็นธรรมชาติมาก ซิลิโคนจะถูกคลุมด้วยชั้นของกล้ามเนื้อทั้งหมดทุกด้าน เพื่อป้องกันการเคลื่อนที่ของซิลิโคน เหมาะกับผู้ที่มีเนื้อหน้าอกน้อย เมื่อวางแล้วจะมองไม่เห็นขอบของซิลิโคน สัมผัสจะให้รู้สึกถึงเนื้อนมได้เต็มที่ หลังผ่าตัดอาจเจ็บแผลในระยะแรก แต่จะลดโอกาสการเกิดพังผืดได้ดี ซึ่งเหมาะสำหรับสาวๆมีเนื้อหน้าอกน้อย การเสริมในตำแหน่งนี้จึงเป็นทางเลือกที่เหมาะสม
การทำหน้าอก เทคนิคใหม่ DUAL PLANE ผสาน 2 เทคนิค เนินอกสวย ไม่เป็นบล็อค ดูเป็นธรรมชาติ
เป็นการผสมผสานโดยนำข้อดีของเทคนิคการเสริมนมในแต่ละแบบเข้ามาอยู่ด้วยกันในวิธีเดียว ทั้งนี้การเสริมนมเหนือกล้ามเนื้อ หรือ ใต้กล้ามเนื้อ จะมีข้อดีเฉพาะตัวแตกต่างกันไป การทำ Dual Plane ก็คือการนำข้อดีของทั้ง 2 เทคนิคมาไว้ด้วยกัน ทำให้การเสริมนมมีความเป็นธรรมชาติและได้ผลลัพธ์ที่พอใจมากขึ้น คำว่า Dual Plane ก็แปลว่า 2 Plane หมายความว่า ส่วนบนของซิลิโคน ก็จะถูกบดบังด้วยกล้ามเนื้อหน้าอก แต่ในขณะเดียวกันส่วนล่างที่โผล่มา จะอยู่เหนือกล้าม ทำให้ข้างล่างมีความโค้งมน ดูเป็นธรรมชาติมากขึ้น ในขณะเดียวกัน ส่วนบนที่จะถูกกล้ามเนื้อหน้าอกบังไว้ ก็จะคลำไม่เจอขอบของซิลิโคน ทำให้เวลาที่มองภายนอก หน้าอกดูสโลป ชัดเจน มีความสวยงาม และดูเป็นธรรมชาติมากยิ่งขึ้น
ซิลิโคนเสริมหน้าอกมีชนิดไหนบ้าง?
(ประเภทซิลิโคน)
ซิลิโคน Motiva
– ซิลิโคน Motiva เป็นวัสดุซิลิโคนชนิดเจลด้วยเทคโนโยลีใหม่
– ล่าสุดด้วยกรรมวิธี ergonomic (สรีระศาสตร์)
– เสริมหน้าอก Motiva ที่มีความยืดหยุ่นสูง จึงทำให้แผลผ่าตัดเล็ก
– ซิลิโคน Motiva ปรับเปลี่ยนตามการเคลื่อนไหวของร่างกาย
– Nano Texture ป้องกันการเกิดผังผืด
ซิลิโคน MENTOR
– ซิลิโคน mentor ผ่านการรับรองจาก อย. สหรัฐอเมริกา US FDA
– เป็นยี่ห้อที่นิยมกันมากที่สุดสำหรับการเสริมหน้าอก
– เสริมหน้าอก MENTOR มีความคืนตัวสูง เมื่อถูดบีบอัด
– มีความปลอดภัยสูงเรื่องการแตกซึม
ซิลิโคน Allergan
– ซิลิโคน Allergan ผ่านมาตรฐาน US FDA ของสหรัฐอเมริกา
– วัสดุที่คงทน อยู่ได้นาน โอกาสการรั่วซึมน้อย
– เสริมหน้าอก Allergan มีความพุ่งของทรงหน้าอกเยอะมากกว่า
– เกิดผังผืดน้อยและลดอาการการแข็งตัวของการเสริมหน้าอก
– ซิลิโคน Allergan เหมาะสำหรับสาวๆ ที่ต้องการเนินนมน้อยแต่ต้องการความพุ่ง
ซิลิโคน Silimed
– ซิลิโคน Silimed ได้รับการรับรองจาก (FDA) ในสหรัฐอเมริกา
– เป็นซิลิโคนที่มีความหนาแน่นและความคงทนสูง
– เป็นการผลิตแบบ Two texture
– ซิลิโคน Silimed ฐานกว้าง ความนูนน้อย
– เสริมหน้าอก Silimed เหมาะกับคนที่มีฐานหน้าอกกว้าง ทรงหน้าอกที่มีความเป็นธรรมชาติ ไม่พุ่ง ไม่เป็นบล็อค
ซิลิโคน Sebbin
– ซิลิโคนเกรดทางการแพทย์สัญชาติประเทศฝรั่งเศส
– เสริมหน้าอก Sebbin ทรงจะพุ่ง ไม่เป็นบล๊อค
– ผ่านมาตรฐาน อย. ไทย สัมผัสนิ่ม
– โอกาสเกิดคลื่นที่ระหว่างขอบซิลิโคนกับผิวหน้าอกน้อย
– ราคาค่าบริการเสริมหน้าอกด้วยซิลิโคน Sebbin ราคาค่อนข้างถูก
การเสริมหน้าอกด้วยไขมันตัวเอง
(ประเภทไขมัน)
– ฉีดหน้าอกด้วยไขมันตัวเองไม่มีรอยแผลเป็นจากการผ่าตัด
– ไขมันของร่างกายเราเอง ปลอดภัย
– กระบวนการคัดแยก เอาเฉพาะไขมันที่มีคุณภาพสูง
– หน้าอกเป็นธรรมชาติมากที่สุด มีความนุ่มเหมือนจริง
– ไขมันที่ฉีดสามารถคงอยู่อย่างถาวร ตลอดไป
– ทำโดยแพทย์ที่มีความชำนาญเฉพาะทาง
ความเเตกต่างระหว่างการเสริมหน้าอกด้วยซิลิโคนกับการเสริมหน้าอกด้วยไขมันตัวเอง
การเสริมหน้าอกด้วยการฉีดไขมัน
แผลจะเล็กกว่าการเสริมหน้าอก
ด้วยซิลิโคน เหมาะสำหรับ
คนที่ต้องการหน้าอกที่ธรรมชาติ
เสริมหน้าอกด้วยซิลิโคน
การเสริมหน้าอกด้วยซิลิโคน
มีลักษณะรอยกรีดยาว
สามารถผ่าตัดได้ 3 ตำแหน่ง
คือ ปานนม ใต้รักแร้ และใต้ราวนม
การเสริมหน้าอกทั้งสองวิธีถือว่าได้รับการยอมรับจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญโดยตรง ปลอดภัย ส่วนคนไข้ต้องหาข้อมูลว่าตัวเองเหมาะสมกับวิธีไหนมากที่สุด เพื่อความเหมาะสมและสวยงาม ทั้งนี้ควรเลือกแพทย์ที่มีประสบการณ์ และผลงานการรักษาที่เชื่อถือได้ เพื่อไม่ให้เกิดผลข้างเคียงที่ตามมา
ศัลยกรรมหน้าอก ทรงไหนดี ?
ซิลิโคนที่ใช้สำหรับการศัลยกรรมหน้าอกปัจจุบันมีให้เลือก 2 ประเภท คือ
- ซิลิโคทรงหยดน้ำ จะมีลักษณะคล้ายหยดน้ำ โดยส่วนล่างจะมีลักษณที่ป่องออก ด้านบนจะมีลักษณะแบน ซิลิโคนทรงหยดน้ำนี้จะเหมาะกับสาว ๆ ที่มีเนื้อหน้าอกน้อย หรือสาวอกไก่ที่มีซี่โครงตรงกลางนูนขึ้นมา ซิลิโคนทรงหยดน้ำ หลังจากศัลยกรรมแล้ว จะมีความคล้อย คล้ายหน้าอกธรรมชาติ
- ซิลิโคนทรงกลมนั้น จะมีลักษณะกลม มีฐานกว้าง ทั้งนี้การเลือกซิลิโคนให้เหมาะสม ควรดูที่พื้นฐานหน้าอก และซิลิโคนทรงกลมนั้นจะเหมาะกับสาว อกแบน และฐานอกแบบทั่วไป หรือสาวๆ ที่มีเนื้อนมอยู่บ้างแต่ต้องการเติมเต็มให้ได้รูปหรือแก้ไขข้อบกพร่อง เช่น หน้าอกที่หย่อนคล้อย
ในปัจจุบัน การผ่าตัดโดยใช้ซิลิโคน ทำได้โดยการเปิดแผลขนาดเล็กเพื่อนำซิลิโคนเข้าไปในตำแหน่งที่ต้องการ วิธีการที่ใช้อยู่ในปัจจุบันมีอยู่ด้วยกัน 3 แบบ คือ
- การผ่าตัดนำถงซิลิโคนเข้าโดยการเปิดแผลทางปานนม (Periareolar Incision) เป็นวิธีที่ไม่ค่อยได้รับความนิมยม เพราะมีข้อจำกัดหลายอย่าง มีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดอาการเสียความรู้สึกของปลายประสาทรอบๆ หัวนม
- การผ่าตัดนำซิลิโคนเข้าโดยการเปิดแผลทางรักแร้ (Transaxillary Incision) เป็นอีกวิธีหนึ่งที่ได้รับความนิยม เพราะเป็นการซ่อนแผลได้ดี แต่เนื่องจากมีความซับซ้อนในการผ่าตัด ทำให้ฟื้นตัวช้ากว่า
- การผ่าตัดนำซิลิโคนเข้าโดยเปิดแผลใต้ราวนม (Inframammary Incision) เป็นวิธีการที่นิยม เพราะแพทย์สามารถควบคุมตำแหน่งการวางซิลิโคนได้ง่าย สามารถใส่ซิลิโคนขนาดใหญ่ได้ แต่แผลก็อาจจะใหญ่ขึ้น วิธีการนี้เหมาะกับการเสริมหน้าอกแบบปกติ คนไข้ฟื้นตัวได้รวดเร็ว
ผิวสัมผัสของซิลิโคนที่ได้รับความนิยม
- ซิลิโคนผิวเรียบ (Smooth Breast Implant) เป็นซิลิโคนที่มีความสัมผัสนุ่มเป็นธรรมชาติ เพราะเปลือกของซิลิโคนมีความบาง ผิวสัมผัสของเปลือกซิลิโคนจะมีความเรียบ ลื่น ทำให้บางครั้งเกิดการเลื่อนไหลของซิลิโคนที่ผ่าตัดเข้าไป เชื่อกันว่า ซิลิโคนผิวเรียบมีโอกาสเกิดพังผืดได้มากกว่า จึงมีการผลิตซิลิโคนผิวทรายขึ้นมา
- ซิลิโคนผิวทราย (Textured Breast Implant) เป็นซิลิโคนที่ผิวสัมผัสของเปลือกซิลิโคนมีความหยาบและหนากว่าซิลิโคนผิวเรียบ ช่วยป้องกันการเลื่อนไหลของซิลิโคน และช่วยลดการเกิดพังผืด แต่ปัจจุบันพบว่า โอกาสการเกิดพังผืดนั้น ไม่ได้ขึ้นอยู่กับแค่ชนิดผิวสัมผัสของซิลิโคนเพียงอย่างเดียว แต่เกิดขึ้นจากตำแหน่งการวางซิลิโคนด้วย โดยการผ่าตัดเหนือกล้ามเนื้อ ร่างกายมีโอกาสสร้างพังผืดได้สูงกว่า แต่ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการตอบสนองของแต่ละบุคคล
- ซิลิโคนนาโน (Nano Texture Breast Implant) เป็นความก้าวหน้าทางการแพทย์ไปอีกขั้น ที่มีการผลิตซิลิโคนชนิดใหม่ ที่มีเปลือกซิลิโคนแบบ Nano Texture ซึ่งมีคุณสมบัติอยู่ระหว่างผิวเรียบและผิวทราย คือ ไม่เรียบจนเกินไป และ ไม่หยาบเหมือนผิวทราย ช่วยป้องกันการเกิดพังผืด และให้สัมผัสที่นุ่มกว่า เป็นธรรมชาติมากกว่า
ข้อห้ามของการศัลยกรรมหน้าอก
ในบางกรณี การทำมีความเสี่ยงต่อการเกิดอันตรายได้สูง และไม่คุ้มกันเมื่อเทียบกับประโยชน์ที่จะได้รับ ผู้ที่มีอาการติดเชื้อบริเวณใด ๆ ของร่างกาย ป่วยเป็นโรคมะเร็งหรือเคยมีประวัติป่วยเป็นโรคมะเร็งเต้านมที่ยังไม่ได้รับการรักษาจนหายดี และหญิงที่กำลังตั้งครรภ์หรือให้นมบุตรจะไม่แนะนำให้รับการศัลยกรรมนี้ เนื่องจากกระบวนการผ่าตัดที่ใช้อาจมีผลต่อการรักษาอาการติดเชื้อหรือโรคมะเร็ง และเป็นข้อคำนึงด้านความปลอดภัยของหญิงกำลังตั้งครรภ์และให้นมบุตร นอกจากนี้ ภาวะเหล่านี้ยังส่งผลถึงการฟื้นตัวหลังการผ่าตัดด้วย สำหรับผู้ป่วยเหล่านี้ การผ่าตัดเสริมสร้างหน้าอกจึงทำได้ในกรณีที่เป็นการรักษาตามคำแนะนำจากแพทย์เท่านั้นการรักษาตามคำแนะนำจากแพทย์เท่านั้น
ข้อควรระวังของการศัลยกรรมหน้าอก
ผู้ที่ต้องการจะศะลยกรรมหน้าอก ควรศึกษาหารีวิวมาก่อน เมื่อมีปัจจัยเสี่ยงต่อไปนี้ควรแจ้งให้แพทย์ทราบเพื่อให้ผลการผ่าตัดออกมาดีที่สุด
- ป่วยเป็นโรคภูมิแพ้ตนเอง
- ระบบภูมิคุ้มกันร่างกายอ่อนแอ รวมถึงการรับประทานยาที่ทำให้ภูมิต้านทานโรคลดลงด้วย
- มีภาวะที่ส่งผลต่อการรักษาแผลหรือกระบวนการหยุดเลือดของร่างกาย
- ภาวะที่มีเลือดมาหล่อเลี้ยงเนื้อเยื่อที่หน้าอกน้อยลง
- ต้องทำเคมีบำบัดหรือหรือรังสีบำบัดภายหลังจากการเสริม
- มีภาวะซึมเศร้าหรือความผิดปกติทางสุขภาพจิตอื่น ๆ เช่น ผู้ป่วยที่คิดว่าตนเองมีรูปร่างผิดปกติ มีโรคการ กินผิดปกติ มีอาการซึมเศร้า วิตกกังวล หรือภาวะสุขภาพทางจิตทั้งหลาย ควรได้รับการรักษาให้หายดีหรือมีอาการทรงตัวก่อนเข้ารับการศัลยกรรม
ประเภทของการศัลยกรรมหน้าอก
คลินิกเสริมหน้าอก มีการทำหน้าอกมีหลายประเภท แบ่งตามวัสดุที่นิยมใช้ใส่เข้าไปวิธีการเสริมในหน้าอกแบ่งได้เป็น 2 ชนิดวัสดุ ได้แก่ การใช้ถุงซิลิโคน และการใช้ถุงน้ำเกลือซึ่งมีใช้น้อยกว่า โดยแพทย์อาจพูดคุยแนะนำถึงรูปร่างและประเภทของการเสริมเต้านมที่เหมาะสมกับแต่ละคน ซึ่งแต่ละวิธีก็มีทั้งข้อดีและข้อเสียต่างกันไปเพื่อให้การเสริมหน้าอกดีที่สุด
การใช้ถุงซิลิโคนเจล
เป็นการเสริมด้วยถุงซิลิโคนที่ภายในประกอบด้วยซิลิโคนเจล มีหลายขนาดให้เลือก และมีทั้งพื้นผิวเรียบและผิวทราย ซิลิโคนที่ใช้อาจเป็นชนิดอ่อนนุ่มหรือชนิดแข็งก็ได้ โดยภายในมีการเติมเจลซิลิโคนชนิดหนาแน่นไว้ นอกจากนี้ปัจจุบันยังมีถุงซิลิโคนชนิดที่เคลือบด้วยยางโพลียูรีเธนด้วย
วิธีการทำด้วยซิลิโคนเจลนี้อนุญาตให้ใช้ในหญิงอายุ 22 ปีขึ้นไป หรืออายุเท่าใดก็ได้กรณีที่ผ่าตัดเสริมสร้างเต้านมแทนเต้านมที่ถูกตัดเท่านั้น
- ข้อดีของซิลิโคนเจลคือมีโอกาสเกิดริ้วรอยเหี่ยวย่นได้น้อยกว่าการใช้ถุงน้ำเกลือ และหากเป็นชนิดอ่อนนุ่มก็จะให้ความรู้สึกเหมือนเสริมแบบธรรมชาติ ส่วนซิลิโคนชนิดที่เคลือบด้วยยางโพลียูรีเธนนั้นมีการอ้างถึงคุณสมบัติในการลดความเสี่ยงต่อการเกิดพังผืดรัดรอบเต้านมเทียมและการเคลื่อนที่ของซิลิโคนด้วย
- ส่วนข้อเสียก็มีเช่นกัน ถุงเจลซิลิโคนแบบอ่อนนุ่มที่เกิดฉีกขาด อาจส่งผลให้ซิลิโคนแพร่กระจายไปยังเต้านม ซึ่งจะตรวจเจอได้จากการสแกนเต้านมเท่านั้น และจำเป็นต้องผ่าตัดเอาซิลิโคนที่เสริมออกมา ปัญหานี้สามารถหลีกเลี่ยงด้วยการใช้ซิลิโคนชนิดหนาแน่นแทน แต่ซิลิโคนชนิดนี้อาจให้ความรู้สึกไม่เป็นธรรมชาติ ส่วนซิลิโคนแบบเคลือบยางโพลียูรีเธนก็มีข้อเสียที่อาจไปทำปฏิกิริยากับผิวหนังได้ชั่วคราวเช่นกัน
การใช้ถุงน้ำเกลือ
เป็นถุงซิลิโคนเหมือนประเภทแรก แต่ภายในเติมด้วยสารละลายน้ำเกลือแทน อาจมีการเติมไว้ก่อนผ่าตัด หรือเติมเข้าไปในระหว่างการผ่าตัดก็ได้ มีหลายขนาดให้เลือกและมีทั้งเปลือกซิลิโคนแบบเรียบหรือมีพื้นผิว การเสริมด้วยถุงน้ำเกลือนี้ทำได้เฉพาะในผู้หญิงที่อายุ 18 ปีขึ้นไป แต่หากเป็นการผ่าตัดเสริมสร้างเต้านมให้ผู้ป่วยโรคมะเร็งที่ตัดเต้านมไปก็สามารถทำเมื่ออายุเท่าใดก็ได้
- ข้อดีของการเสริมหน้าอกด้วยถุงน้ำเกลือ คือ หากเต้านมที่เสริมฉีกขาด น้ำเกลือภายในจะค่อย ๆ ถูกร่างกายดูดซึมไปหรือขับออกจากร่างกาย จึงทำให้ปลอดภัยต่อร่างกาย
- ข้อเสียของการใช้ถุงน้ำเกลือ คือเรื่องความคงทน ที่อาจฉีกขาดได้เร็วกว่าถุงเจลซิลิโคน เพราะถุงน้ำเกลือจะแฟบลงเรื่อย ๆ เมื่อเวลาผ่านไป และยังเสี่ยงต่อการเกิดรอยเหี่ยวย่น ราคาการเสริมหน้าอก 2 วิธีนี้จะต่างกัน
ขั้นตอนการทำหน้าอก
การเตรียมตัว
- ศัลยแพทย์อาจส่งตรวจสแกนแมมโมแกรมหรือเอกซเรย์เต้านมก่อนผ่าตัดเสริมหน้าอกเพื่อตรวจดูว่าเต้านมมีความผิดปกติหรือไม่ และยังเป็นการช่วยให้เห็นภาพของเนื้อเยื่อเต้านมของคนไข้ก่อนการผ่าตัดจริง นอกจากนี้อาจมีการพูดคุยอธิบายเกี่ยวกับการผ่าตัด วัสดุที่ใช้เสริมหน้าอก เวลาโดยประมาณที่ใช้ รวมทั้งการรักษาที่จะใช้หากมีผลข้างเคียงเป็นอาการบาดเจ็บหรือคลื่นไส้ตามมา เป็นต้น
- ในคืนก่อนการผ่าตัดเสริมหน้าอก มีข้อปฏิบัติ คือ ห้ามรับประทานอาหารหรือดื่มน้ำหลังผ่านเที่ยงคืนไปแล้ว ผู้เข้ารับการผ่าตัดควรเตรียมเสื้อผ้าและยกทรงหลวม ๆ ที่ไม่มีโครงเพื่อใช้ใส่หลังการผ่าตัด และหากต้องการกลับบ้านในวันเดียวกันก็ควรมีผู้ที่คอยดูแลเพื่อความปลอดภัยเพื่อผลในการเสริมหน้าอกดีที่สุด
การผ่าตัด
- เมื่อมาถึงคลินิกเสริมหน้าอก หลังจากแพทย์ให้ยาระงับความรู้สึกและรอจนยาเริ่มออกฤทธิ์แล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการผ่าตัด ซึ่งอาจเป็นบริเวณใต้เต้านม ข้อพับใต้รักแร้ รอบ ๆ หัวนม หรือตลอดแนวแผลเป็นจากการผ่าตัดเต้านม (กรณีที่ผ่าตัดเสริมเต้านมให้ผู้ป่วยที่ถูกตัดเต้านมออกไป)
- การเลือกตำแหน่งของการผ่าตัดนี้สามารถส่งผลถึงลักษณะการเกิดรอยแผลเป็นและภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นได้หลังจากผ่าตัดเสริมหน้าอก ตำแหน่งที่นิยมผ่ากันมากที่สุดคือบริเวณใต้เต้านม เนื่องจากผิวหนังส่วนนี้จะมีความย่นเป็นปกติ แต่รอยแผลเป็นที่เกิดขึ้นอาจเห็นได้ชัดกว่าบริเวณอื่นเล็กน้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในคนอายุน้อยที่ผอมและยังไม่เคยมีบุตรมาก่อน
- การผ่าตัดที่บริเวณใต้ข้อพับรักแร้จะช่วยเลี่ยงการเกิดแผลเป็นบริเวณรอบเต้านม และไปมีแผลเป็นที่ใต้รักแร้แทน ส่วนการผ่าตัดรอบ ๆ หัวนมนั้นเป็นตำแหน่งที่อาจส่งผลข้างเคียงทำให้เกิดอาการชาหรือการรับความรู้สึกของหัวนมลดลงได้ ทั้งนี้คนไข้ควรพูดคุยปรึกษาถึงข้อดีข้อเสียและความเหมาะสมของการผ่าตัดใส่ถุงซิลิโคนแต่ละตำแหน่งที่ยังต้องขึ้นอยู่กับร่างกายของคนไข้ ประเภทและขนาดของถุงซิลิโคนด้วย
- สำหรับการใส่ถุงซิลิโคน สามารถใส่ได้ 2 ตำแหน่ง คือ ด้านหลังชั้นกล้ามเนื้อหน้าอก ซึ่งเป็นตำแหน่งตามการเสริมหน้าอกธรรมชาติที่สุด ช่วยให้รู้สึกสบายหลังการผ่าตัดมากกว่า และไม่เป็นอันตรายต่อกล้ามเนื้อหน้าอก อีกตำแหน่งที่ทำได้คือหน้าชั้นกล้ามเนื้อหน้าอกหรือใต้เนื้อเยื่อหน้าอก การใส่ซิลิโคนตำแหน่งนี้จะช่วยปกป้องเนื้อเยื่อและลดความเสี่ยงต่อการกระเพื่อมและการเกิดพังผืดรัดรอบถุงซิลิโคนเจลได้
- ถุงซิลิโคนเสริมหน้าอกประเภทเจล จะมีเจลซิลิโคนอยู่ภายในก่อนแล้ว สามารถใส่เข้าไปได้ทันที แต่หากเป็นการเสริมด้วยถุงน้ำเกลือ อาจมีการเติมน้ำเกลือไว้ก่อนหรือเติมขณะผ่าตัดก็ได้ โดยแพทย์จะสอดเปลือกซิลิโคนเข้าไปแล้วจึงเติมน้ำเกลือเข้าไปตามขนาดที่คนไข้ต้องการ
- เมื่อใส่ถุงซิลิโคนเรียบร้อยจึงตามด้วยการเย็บแผลผ่าตัด ก่อนปิดแผลอาจทำการวางท่อระบายผ่านผิวหนังไว้เพื่อช่วยป้องกันการสะสมของเลือดหรือของเหลว ซึ่งท่อระบายนี้จะถูกนำออกไปในการนัดตรวจหลังการผ่าตัดครั้งต่อไป
การพักฟื้นหลังผ่าตัด
- หลังการผ่าตัดจะเป็นการพักฟื้นและเฝ้าดูอาการของผู้ป่วย ระหว่างนี้อาจใช้ผ้าก๊อซพันไว้ที่หน้าอกหรือให้ใส่เสื้อยกทรงสำหรับใส่หลังการผ่าตัดเสริมหน้าอก การผ่าตัดเสริมเต้านมมีผลข้างเคียงที่เกิดขึ้นได้เช่นเดียวกับการผ่าตัดทั่วไป โดยอาจทำให้มีอาการปวด บวม แผลฟกช้ำ และคงอยู่เป็นเดือน แต่จะค่อย ๆ ดีขึ้นเรื่อย ๆ นอกจากนี้ยังอาจตามมาด้วยแผลเป็นซึ่งเป็นธรรมดาของการผ่าตัด แผลเป็นเหล่านี้สามารถจางลงเป็นเส้นบางไปตามระยะเวลา แต่แผลเป็นที่เกิดขึ้นอาจมีลักษณะเด่นชัดกว่าในผู้ที่มีผิวคล้ำ
- ก่อนกลับไปพักรักษาตัวที่บ้าน แพทย์อาจสั่งจ่ายยาสำหรับบรรเทาอาการปวดและคลื่นไส้ และอธิบายวิธีดูแลรักษาแผลด้วยตนเอง ทั้งนี้ หากต่อมามีอาการรุนแรง ได้แก่ เลือดไหล มีไข้ ตัวร้อน เต้านมแดง หรืออาการของการติดเชื้ออื่น ๆ ควรแจ้งให้แพทย์ที่ผ่าตัดทราบทันที
- ในช่วงพักฟื้น ผู้ป่วยอาจจำเป็นต้องใส่เสื้อชั้นในสำหรับการผ่าตัดเสริมหน้าอก ผ้าพันหน้าอกหรือยกทรงสำหรับออกกำลังกายเพื่อให้รองรับแผลผ่าตัดไว้ เป็นไปได้ว่าจะสามารถกลับไปทำงานได้ภายใน 1-2 สัปดาห์ และควรหลีกเลี่ยงกิจกรรมที่ต้องออกแรงทั้งหลายที่จะส่งผลให้อัตราการเต้นของหัวใจและความดันโลหิตสูงขึ้น เป็นเวลาอย่างน้อย 2 สัปดาห์
- หากมีการใส่ท่อระบายก้อนเลือดหรือของเหลว แพทย์จะนำออกให้ 1-2 สัปดาห์หลังจากการผ่าตัด และส่วนใหญ่มักกลับมาใช้ชีวิตตามปกติได้ใน 6 สัปดาห์ จนผ่านไปสัก 2-3 เดือน หน้าอกจะเริ่มดูเป็นธรรมชาติยิ่งขึ้น ถึงระยะนี้จึงสามารถหยุดใส่ยกทรงรองรับเต้านม
- ผู้ที่เสริมหน้าอกด้วยซิลิโคนเจลนั้นแนะนำให้ตรวจ MRI เพื่อดูว่ามีการฉีกขาดของซิลิโคนหรือไม่หลังจากผ่าตัดเสริมหน้าอกเป็นเวลา 3 ปี หลังจากนั้นจึงตรวจเป็นประจำทุก ๆ 2 ปี นอกจากนี้ยังควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจมะเร็งเต้านมด้วยแมมโมแกรมอย่างสม่ำเสมอ และแจ้งให้ผู้ที่ตรวจทราบถึงการทำศัลยกรรมหน้าอก เนื่องจากถุงซิลิโคนอาจทำให้มองเห็นเนื้อเยื่อเต้านมได้ยากหากใช้การตรวจแมมโมแกรมเพียงอย่างเดียว จึงต้องใช้การตรวจโดยวิธีอื่นด้วย
ภาวะแทรกซ้อนหลังการผ่าตัดเสริมหน้าอก
การผ่าตัดเสริมเต้านมที่เกิดภาวะแทรกซ้อนอาจทำให้ต้องรักษาหรือมีการผ่าตัดเพิ่มเติม ภาวะแทรกซ้อนที่สามารถเกิดขึ้นได้มีดังนี้
- มีเลือดสะสมบริเวณแผลผ่าตัดจนทำให้บวมและเจ็บปวด มักเกิดขึ้นหลังการผ่าตัดไม่นาน หรืออาจเกิดได้หากเต้านมได้รับบาดเจ็บ ทั้งนี้ก้อนเลือดสะสมที่มีขนาดใหญ่จนร่างกายไม่สามารถดูดซึมกลับได้จะต้องรับการรักษาด้วยการใส่ท่อระบายเลือด
- มีของเหลวสะสมรอบ ๆ ซิลิโคนเสริม อาจส่งผลให้มีอาการบวม เจ็บ และฟกช้ำ ของเหลวก้อนเล็กอาจถูกร่างกายดูดซึม แต่หากมีขนาดใหญ่แพทย์จำเป็นต้องใช้ท่อระบายออก
- เกิดความเสียหายต่อเนื้อเยื่อเต้านมหรือซิลิโคนเสริมเต้านมเนื่องจากการผ่าตัด
- เกิดการติดเชื้อ กรณีที่แผลผ่าตัดสัมผัสกับแบคทีเรียหรือเชื้อรา โดยจะสามารถแสดงอาการติดเชื้อได้ตั้งแต่ในวันแรก ๆ ไปจนถึงเป็นสัปดาห์ ทำให้มีอาการอักเสบ ระคายเคือง เจ็บ บวมแดง เป็นไข้ หรือร่างกายทำงานผิดปกติ ซึ่งหากคนไข้ไม่ตอบสนองต่อการรักษาด้วยยาปฏิชีวนะก็อาจต้องนำเอาซิลิโคนเสริมหน้าอกออก
- อาการเจ็บหน้าอกบริเวณหัวนมหรือเต้านม
- อาการแดงหรือฟกช้ำจากการมีเลือดออกระหว่างผ่าตัดที่อาจทำให้ผิวเปลี่ยนเป็นสีแดงได้ชั่วคราว
- ผิวหนังหรือเนื้อเยื่อรอบ ๆ เต้านมอาจตาย เนื่องจากการติดเชื้อ การใช้สเตียรอยด์ในการผ่าตัด การสูบบุหรี่ การทำเคมีบำบัด การรักษาด้วยรังสี และการบำบัดด้วยความร้อนหรือความเย็นจัด
- แผลผ่าตัดหายช้า
- มีความรู้สึกที่หัวนมหรือเต้านมเพิ่มขึ้นหรือลดลง อาจเกิดขึ้นชั่วคราวหรือถาวร และอาจส่งผลต่อการตอบสนองทางเพศหรือการให้นมบุตร ทำให้ไม่สามารถให้นมหรือมีผลิตน้ำนมได้น้อยลง
- เต้านมหลังการผ่าตัดอาจมีขนาด รูปร่าง หรืออยู่ในระดับที่ไม่เท่ากันคนไข้หรือศัลยแพทย์อาจไม่พอใจกับรูปร่างหรือขนาดของหน้าอกใหม่หลังการเสริม
- ผิวหนังบริเวณเต้านมบางและเหี่ยวย่นลงเต้านมหย่อนคล้อยที่เกิดขึ้นได้เป็นปกติจากอายุที่มากขึ้น การตั้งครรภ์ หรือมีน้ำหนักตัวลดลง สามารถสัมผัสหรือมองเห็นรอยย่นของซิลิโคนเสริมหน้าอกได้ผ่านผิวหนัง
- ผิวหนังฉีกขาดและเห็นซิลิโคนโผล่ออกมา
- ผนังหน้าอกหรือกระดูกซี่โครงด้านใต้ผิดรูป
- มีก้อนแข็งใต้ผิวหนังบริเวณรอบเต้านมเสริม ซึ่งในการตรวจมะเร็งเต้านมอาจทำให้เข้าใจผิดว่าเป็นมะเร็งและนำไปสู่การผ่าตัดเพิ่มเติมได้
- เกิดผังผืดซึ่งเกิดจากเนื้อเยื่อแผลเป็นที่ถูกสร้างขึ้นรอบ ๆ มารัดถุงซิลิโคน ส่งผลให้หน้าอกแข็งและแน่นหน้าอก
- ระหว่างผ่าตัดหรือหลังผ่าตัด ซิลิโคนเสริมหน้าอกอาจเคลื่อนที่ไปอยู่ผิดตำแหน่ง ทั้งนี้อาจมีสาเหตุจากแรงโน้มถ่วง การได้รับการกระทบกระเทือน หรือเกิดจากเนื้อเยื่อผังผืดที่มารัด ถุงน้ำเกลือแฟบจนรั่วซึม มักรั่วจากลิ้นปิดหรือรอยฉีกที่เปลือกซิลโคนชั้นนอก ทำให้ถุงน้ำเกลือบางส่วนหรือทั้งหมดแฟบลงได้
- ต่อมน้ำเหลืองบวมโต
- เกิดรอยฉีกขาดหรือหลุมที่ถุงซิลิโคนชั้นนอก
การผ่าตัดเพิ่มเติม
ซิลิโคนเสริมหน้าอกไม่สามารถอยู่ไปได้ตลอดชีวิต ยิ่งผ่าตัดเสริมหน้าอกมานานเท่าไหร่ก็ยิ่งเสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อนมาก และอาจต้องมีการผ่าตัดเพิ่มเติมเพื่อรักษาภาวะแทรกซ้อน การผ่าตัดเพิ่มเติมที่ศัลยแพทย์อาจนำมาใช้มีดังนี้
- การนำเอาซิลิโคนเสริมหน้าอกออก โดยอาจใส่หรือไม่ใส่กลับเข้าดังเดิม
- การนำเอาเนื้อเยื่อแผลเป็นรอบ ๆ ซิลิโคนออก
- การผ่าตัดเพื่อนำเอาแผลเป็นที่มากเกินออก
- การใส่เข็มหรือท่อผ่านผิวหนังเพื่อระบายเลือด
- การเปิดแผลผ่าตัดออกอีกครั้งเพื่อเปลี่ยนตำแหน่งของซิลิโคน
- การตัดก้อนซีสต์ด้วยการสอดเข็มผ่านผิวหนังหรือการผ่าผิวหนังเพื่อนำเอาก้อนเนื้อออก
ทำไมต้องศัลยกรรมหน้าอก ที่ Alyss by Vertex Clinic
10 เหตุผลที่ใครๆก็เลือกเสริมหน้าอกกับ Alyss by Vertex Clinic
1. เสริมหน้าอกส่องกล้องด้วยเทคโนโลยีคุณภาพจากเยอรมนี (KARL STORZ)
2. ขนาดแผลเล็ก 2-5เซ็นติเมตร
3. ไม่มีสายเดรนระบายเลือด ไม่ต้องกังวลอาการเลือดคั่ง
4. เสริมแบบ Dual Plane/Sub-Facial หรือเรียกว่าการวางซิลิโคนไว้ในชั้นระหว่างกล้ามเนื้อ
5. ผ่าตัดบริเวณใต้รักแร้ปลอดภัยในระยะยาวกว่าการเสริมใต้ราวนม
6. วัดไซด์ก่อนเสริม โดยประเมินจากน้ำหนัก สูงส่วน เนื้อนมเดิม และลำตัว
7. ใช้เวลาพักฟื้นน้อย เข้าที่เร็ว ไม่บวม เจ็บน้อย ช่วยเหลือตัวเองได้ปกติ
8. วิสัญญีแพทย์
9. รับประกันติดตามอาการหนึ่งปีเต็ม โดยไม่คิดค่าใช้จ่าย
10. มีทีมแพทย์และแอดมินคอยให้คำปรึกษาตลอดหลังเข้ารับบริการ